ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การจัดการดิน เพื่อปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์

การจัดการดิน เพื่อปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์
การปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์ คือการปลูกผักและไม้ผลที่มีระบบการผลิต การใช้เครื่องพ่นยาสะพายหลัง ควรไตร่ตรองถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมดุลธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี หรือสารกำจัดศัตรูพืชต่างๆโดยหันกลับมาใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ไถกลบเศษพืช และปุ๋ยชีวภาพในการเปลี่ยนแปลงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ผักและไม้ผลมีความแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

กระบวนการผลิตปุ๋ยคอก โดยใช้สารเร่งจุลินทรีย์
พด.1 มีส่วนผสมในการผลิต คือ 1) มูลไก่ 300 กิโลกรัม 2) รำข้าวละเอียด 30 กิโลกรัม
3) สารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 1 ซอง (100 กรัม) และ
4) ฟางข้าว เพื่อใช้สำหรับคลุมกองปุ๋ยหมัก

แนะนำการทำปุ๋ยคอก ผสมมูลไก่ รำละเอียด และสารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 ให้เข้ากัน รดน้ำปรับความชื้น ประมาณ 60% ทำการตั้งกองปุ๋ยคอกให้สูง ประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วนำฟางข้าวมาคลุมกองปุ๋ยคอกไว้ เพื่อรักษาความชื้นและธาตุอาหารในกองปุ๋ยหมัก ในระหว่างการหมักไม่ต้องกลับกองปุ๋ยคอก ปล่อยให้เกิดการย่อยสลายเป็นเวลา 7 วัน จึงนำไปใช้ในการปลูกพืชได้

วิธีใช้ปุ๋ยคอก ให้เตรียมแปลงเพาะกล้า โดยใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1 ตัน/ไร่ และช่วงการเจริญเติบโตของพืช ให้ใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1 ตัน/ไร่ โดยใช้เครื่องปั่นไฟ

แนะนำการผลิตน้ำหมักชีวภาพ จากไข่ไก่ โดยใช้สารเร่ง พด.2 มีส่วนผสมในการผลิต คือ 1) ไข่ไก่ (รวมเปลือก) ซึ่งปั่นให้ละเอียด 50 ฟอง 2) ตับ 3 กิโลกรัม 3) กากน้ำตาล 3 กิโลกรัม 4) สารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 1 ซอง (25 กรัม) และ 5) น้ำ 20 ลิตร

กระบวนวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ นำไข่ไก่ที่ปั่นละเอียด ตับ และกากน้ำตาลลงในถังหมักผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทำการละลายสารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 จำนวน 1 ซอง ผสมในน้ำ คนให้เข้ากันนาน 5 นาที จากนั้นเทลงในส่วนผสมของไข่ไก่และตับ แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง พร้อมกับเติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร จากนั้นปิดฝาไม่ต้องสนิท และตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม 20 วัน (จนไม่ปรากฏฟอง)

วิธีใช้น้ำหมักชีวภาพ
1.ก่อนระยะการเก็บเกี่ยวพืชผักและไม้ผล ควรฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ ทุก 7 วัน หรือรดลงในดินบริเวณโคนต้นไม้ผล เช่น มะละกอ และชมพู่

2.ในการปลูกถั่วฝักยาว จะใช้น้ำหมักชีวภาพ ที่ประกอบด้วยไข่ไก่และปลาหมัก ที่เจือจาง 1:1,000 ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน ซึ่งน้ำหมักชีวภาพจากไข่ จะช่วยเร่งการออกดอกผลได้ดี เนื่องจากมีฮอร์โมนจิบเบอเรลลินสูง

การรับมือวัชพืช ต้องปล่อยให้วัชพืชสูงจนออกดอก แต่ยังไม่มีเมล็ด ถ้าปลูกปอเทืองด้วย ให้ไถกลบเมื่อปอเทืองออกดอก ทำการตัดต้นวัชพืชตรงบริเวณโคนต้นพร้อมกับต้นปอเทือง ด้วยเครื่องตัดหญ้า จากนั้นใช้รถไถทำการไถกลบลงดิน ตามด้วยใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 1 ตันต่อไร่ แล้วจึงไถพรวนอีกครั้ง ฉีดน้ำหมักชีวภาพ เจือจาง 1:200 พ่นให้ทั่วแปลง หมักทิ้งไว้ ถ้าให้น้ำ 2-3 วัน จะสามารถทำการปลูกพืชได้ ทำการใส่ปุ๋ยหมัก 1 ตันต่อไร่ ในช่วงก่อนปลูกพืช และช่วงระหว่างการเจริญเติบโตของพืช

ที่รายงานมาแล้ว นักวิชาการของกรมพัฒนาที่ดิน ได้ชี้ช่องทางวิธีทำเกษตรอินทรีย์ ให้กับเกษตรกร และแจกจ่ายสารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 และ พด.2 ทั่วประเทศ ไปรับได้ที่สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดิน ที่ตั้งในจังหวัดใกล้บ้านของท่าน นะครับ...
http://vigotachcatalog.blogspot.com/2014/10/blog-post_29.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สวนกล้วยไม้แย้มประยูร จ.พระนครศรีอยุธยา

พระนครศรีอยุธยา 5 ม.ค.-เกษตรกรชาว จ.พระนครศรีอยุธยา เริ่มต้นปลูกกล้วยไม้เพียง 2 ไร่ ได้ผลดีมีลูกค้าทั้งในประเทสและนอกประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนขยายเป็น 100 ไร่   คุณลุงมานิตย์ แย้มประยูร เกษตรกร วัย 76 ปี เริ่มต้นจากใจรักใน กล้วยไม้ ลงทุน ปลูกกล้วยไม้ กับเงินทั้งหมดที่มีอยู่ 4,000 บาท บนที่ดิน 2 ไร่ เพราะความขยัน อดทนทำให้คุณลุงมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถขยายจาก 2 ไร่ เป็น 100 ไร่ พัฒนาขยายสายพันธุ์ใหม่จนสร้างชื่อเสียงระดับโลก สร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน   คุณลุงมานิตย์ บอกว่า ปกติ กล้วยไม้ นิยมขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หรือเพาะเมล็ด เพราะทำให้เกิดต้นกล้าจำนวนมาก เติบโตสม่ำเสมอ และปลอดโรคใช้เวลาในการเติบโตแตกต่างกันประมาณ 1 -3 ปี แล้วแต่ชนิดพันธุ์และสูตรอาหาร   ตลาดส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกที่สำคัญ ได้แก่ ตลาดยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนามและเมียนมาร์ ซึ่งสีสันที่แต่ละภูมิภาคชื่นชอบก็จะแตกต่างกันไป อย่างยุโรปจะชื่นชอบกล้วยไม้สีแดง ส่วนตลาดญี่ปุ่นจะชื่นชอบกล้วยไม้สีม่วง ขณะที่การเปิดประชาคมอาเซียนเป็นอีกโอกาสในการขยายตลาดของ กล้วยไม้ไทย   การเลี้ยงกล้

เกษตรอินทรีย์ : ลู่ทางใหม่ของเกษตรกรไทย

เกษตรอินทรีย์ : ลู่ทางใหม่ของเกษตรกรไทย การทำเกษตรกรรมของไทยมักเผชิญปัญหาการขาดทุนตามที่ เครื่องปั่นไฟ ราคาสูงขึ้น ซึ่งหนึ่งในที่มาของปัญหานี้เกิดจากรายจ่ายในการจัดซื้อสารเคมีจำนวนมาก มาใช้เพื่อเร่งผลผลิต อย่างไรก็ตาม หากผลผลิตที่ได้มีราคาตกต่ำ การขาดทุนก็ยังคงมีอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น ในล่าสุดกระแสการดูแลรักษาสุขภาพของประชากรโลกเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยและปราศจากสารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้เกษตรกรหลายรายจึงคิดหาวิธีการทำเกษตรกรรม แนวใหม่ เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) โดยใช้ เครื่องปั่นไฟมือสอง เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและได้ผลผลิตที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยการพยายามประยุกต์ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการใช้ปัจจัยการผลิตภายนอกและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งวิถีทางการทำเกษตรแนวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Agriculture : IFOM) ให้คำนิยามของเกษตรอินทรีย์ว่าเป็น “ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใ

ตอนที่2 วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์ไหนดีจึงจะมีตลาดขาย

ตอนที่2 วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์ไหนดีจึงจะมีตลาดขาย -มะละกอพันธุ์ครั่ง เป็นมะละกอดิบหรือส้มตำพันธุ์ใหม่ที่ใช้ยาฆ่าแมลงและใช้ เครื่องพ่นยา น้อย และที่มีผู้รายงานข่าวทำข่าวกันมากจนทำให้เกษตรกรปลูกกันในหลายภาค โดยชูจุดดีตรงที่เนื้อกรอบ หอม หวาน อร่อย หลังเก็บจากต้นแล้ว สดอยู่ได้นานกว่าพันธุ์อื่น 5-6 วันก็ยังไม่เหี่ยว และบอกว่าทนทานไวรัสจุดวงแหวนได้ดี(อันนี้จริงเปล่าไม่รู้) แต่ข้อเสียก็คือ ผลมีร่องทำให้เวลาปอกเปลือก เปลือกสีเขียวจะติดอยู่ในร่องนั้น ขูดเส้นยาก ตอนนี้เริ่มมีปัญหาด้านตลาดแต่นักค้นคว้าก็ยังเพิ่งเปิดตัวครั่งพันธุ์ใหม่เนื้อเหลืองไปเมื่อเดือนที่แล้วอีกซึ่งครั่งเนื้อเหลืองจะทำให้เส้นส้มตำน่ากินมากขึ้น นักข่าวประโคมข่าวอีกเช่นเดิมแต่ปัญหาร่องที่ผลจะทำให้แม่ค้ายอมรับได้แค่ไหนต้องติดตามกันต่อไป